1. ความหมายพฤติกรรม
พฤติกรรม (Behavior) :: หมายถึง กิริยาอาการแสดงออกทุกรูปแบบของสิ่งมีชีวิตเพื่อตอบสนองต่อสิ่งเร้า ทั้งภายนอกและใน เป็นการแสดงออกที่เห็นได้จากภายนอก โดยรูปแบบของพฤติกรรมต่างๆ นั้นเป็นผลมาจากการทำงานร่วนกันของพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม
Behavior or behaviour (see American and British spelling differences) is the range of actions and mannerisms made by organisms,systems, or artificial entities in conjunction with their environment, which includes the other systems or organisms around as well as the physical environment. It is the response of the system or organism to various stimuli or inputs,
ภาพที่ 1 กลไกการเกิดพฤติกรรมของสัตว์
2. กลไกการเกิดพฤติกรรม
การที่พฤติกรรมใดพฤติกรรมหนึ่งจะเกิดขึ้นได้นั้น จะต้องประกอบด้วย
1. สิ่งเร้าหรือตัวกระตุ้น (STIMULUS)
2. เหตุจูงใจ (MOTIVATION)
2. เหตุจูงใจ (MOTIVATION)
ซึ่งหมายถึงความพร้อมภายในร่างกายของสัตว์ก่อนที่จะแสดงพฤติกรรม เช่น ความหิว ความกระหาย เป็นต้น
Motivation, a noun, is defined in the Oxford English Dictionary as "a reason or reasons for acting or behaving in a particular way" and "a desire or willingness to do something; enthusiasm."[1] It can be considered a driving force; a psychological drive that compels or reinforces an action toward a desired goal. Motivation elicits, controls, and sustains certain goal-directed behaviors. For example, hunger is a motivation that elicits a desire to eat. Motivation has been shown to have roots in physiological, behavioral, cognitive, and social areas.
Motivation is conceptually related to, but distinct from, emotion and may be rooted in a basic impulse to optimize well-being, minimize physical pain and maximize pleasure. It can also originate from specific physical needs such as eating, sleeping/resting, and sexual reproduction.
พฤติกรรมจะสลับซับซ้อนเพียงใดขึ้นอยู่กับระดับความเจริญของหน่วยต่างๆ ดังนี้
1. หน่วยรับความรู้สึก (Recepter)
2. ระบบประสาทส่วนกลาง (Central nerverous systen)
3. หน่วยปฏิบัติงาน (Effector)
2. ระบบประสาทส่วนกลาง (Central nerverous systen)
3. หน่วยปฏิบัติงาน (Effector)
3. การศึกษาพฤติกรรมของสัตว์ ทำได้ 2 วิธีคือ
1. วิธีการทางสรีรวิทยา (Physiological approach): มีจุดมุ่งหมายเพื่ออธิบาย พฤติกรรมในรูปของกลไกการทำงาน ของระบบประสาท
2. วิธีการทางจิตวิทยา (Psychological approach) เป็นการศึกษาถึงผลของปัจจัยต่างๆรอบตัวและปัจจัยภายในร่างกายที่มีผลต่อการพัฒนาและการแสดงออกของพฤติกรรมที่มองเห็นได้ชัดเจน
2. วิธีการทางจิตวิทยา (Psychological approach) เป็นการศึกษาถึงผลของปัจจัยต่างๆรอบตัวและปัจจัยภายในร่างกายที่มีผลต่อการพัฒนาและการแสดงออกของพฤติกรรมที่มองเห็นได้ชัดเจน
4. ประเภทของพฤติกรรม แบ่งออกเป็น 2 แบบคือ
1. พฤติกรรมที่มีมาแต่กำเนิด (inherited behavior)
2. พฤติกรรมการเรียนรู้ (Learned behavior)
2. พฤติกรรมการเรียนรู้ (Learned behavior)
1. พฤติกรรมที่มีมาแต่กำเนิด (Inherited behavior ) เป็นพฤติกรรมแบบง่ายๆ เป็นลักษณะเฉพาะที่ใช้ในการตอบสนองต่อสิ่งเร้าชนิดใดชนิดหนึ่ง เช่น แสง เสียง แรงโน้มถ่วงของโลก สารเคมี หรือเหตุการณ์ที่เกิดเป็นช่วงเวลาที่สม่ำสมอ เช่น กลางวัน กลางคืน น้ำขึ้นน้ำลง ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงฤดูกาล ตอบสนองต่อการเคลื่อนไหวเพื่อปรับตำแหน่งที่เหมาะสม ความสามารถในการแสดงพฤติกรรมได้มาจากพันธุกรรมเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องเรียนรู้มาก่อน มีแบบแผนที่แน่นอนเฉพาะตัว สิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกันจะแสดงลักษณะเหมือนกันหมด
สรุปลักษณะของพฤติกรรมที่มีแต่กำเนิด ได้แก่
1. เป็นพฤติกรรมง่ายๆที่ตอบสนองต่อสิ่งเร้าชนิดใดชนิดหนึ่ง
2. การแสดงพฤติกรรมได้มาจากพันธุกรรมเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องเรียนรู้มาก่อน
3. มีแบบแผนที่แน่นอนเฉพาะตัว สิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกันจะแสดงลักษณะเหมือนกันหมด
2. การแสดงพฤติกรรมได้มาจากพันธุกรรมเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องเรียนรู้มาก่อน
3. มีแบบแผนที่แน่นอนเฉพาะตัว สิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกันจะแสดงลักษณะเหมือนกันหมด
ชนิดของพฤติกรรมที่มีมาแต่กำเนิด
1.1 พฤติกรรมรีเฟล็กซ์ (Reflex)
1.2 พฤติกรรมพฤติกรรมแบบรีเฟล็กซ์ต่อเนื่อง (Chain of Reflexes) หรือ สัญชาตญาณ (Instinct)
1.3 พฤติกรรมไคนีซีส (Kinesis)
1.4 พฤติกรรมแทกซีส (Taxis)
1.2 พฤติกรรมพฤติกรรมแบบรีเฟล็กซ์ต่อเนื่อง (Chain of Reflexes) หรือ สัญชาตญาณ (Instinct)
1.3 พฤติกรรมไคนีซีส (Kinesis)
1.4 พฤติกรรมแทกซีส (Taxis)
1.1 พฤติกรรมรีเฟล็กซ์ (Reflex)
พฤติกรรมแบบรีเฟลกซ์ ( Reflex ) เป็นพฤติกรรมที่ส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายตอบสนองต่อสิ่งเร้าที่มากระตุ้นอย่างรวดเร็วทันทีทันใด พฤติกรรมแบบนี้มีความสำคัญ เพราะช่วยให้สิ่งมีชีวิตรอดพ้นจากอันตรายได้ เช่น
- การกระพริบตาเมื่อผงเข้าตา
- การยกเท้าหนีทันทีเมื่อเหยียบหนาม ของแหลม หรือของร้อน
- การไอ การจาม เมื่อมีสิ่งแปลกปลอมเข้าไปในทางเดิน
- การกระพริบตาเมื่อผงเข้าตา
- การยกเท้าหนีทันทีเมื่อเหยียบหนาม ของแหลม หรือของร้อน
- การไอ การจาม เมื่อมีสิ่งแปลกปลอมเข้าไปในทางเดิน
ภาพที่ 2 การไอและการจาม
1.2 พฤติกรรมแบบรีเฟล็กซ์ต่อเนื่อง (Chain of Reflexes)
เป็นพฤติกรรมที่ประกอบด้วยพฤติกรรมย่อยๆ หลายพฤติกรรมที่เป็นปฏิกิริยารีเฟลกซ์ ซึ่งเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องกัน แต่เดิมใช้คำว่า สัญชาตญาณ ( Instinct ) แต่ในปัจจุบันคำนี้ใช้กันน้อยมากในทางพฤติกรรมเพราะมีความหมายกว้างเกินไป ซึ่งอาจรวมไปถึงพฤติกรรมที่มีมาแต่กำเนิดทุกๆแบบด้วย สัตว์พวกแมลง สัตว์เลื้อยคลาน และสัตว์ปีก จะมีพฤติกรรมแบบเด่นชัด เช่น
- การดูดนมของทารก
เป็นพฤติกรรมที่ประกอบด้วยพฤติกรรมย่อยๆ หลายพฤติกรรมที่เป็นปฏิกิริยารีเฟลกซ์ ซึ่งเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องกัน แต่เดิมใช้คำว่า สัญชาตญาณ ( Instinct ) แต่ในปัจจุบันคำนี้ใช้กันน้อยมากในทางพฤติกรรมเพราะมีความหมายกว้างเกินไป ซึ่งอาจรวมไปถึงพฤติกรรมที่มีมาแต่กำเนิดทุกๆแบบด้วย สัตว์พวกแมลง สัตว์เลื้อยคลาน และสัตว์ปีก จะมีพฤติกรรมแบบเด่นชัด เช่น
- การดูดนมของทารก
- การสร้างรังของนกและแมลง
- การชักใยของแมงมุม
- การกินอาหารของสัตว์แต่ละชนิด เช่น การแทะอาหารของกระรอก
- การเกี้ยวพาราสีของสัตว์ต่างๆ
- การฟักไข่และเลี้ยงลูกอ่อนของสัตว์
- การจำศีลและการอพยพย้ายถิ่นของสัตว์
ภาพที่ 3 พฤติกรรมรีเฟลกซ์ต่อเนื่อง
1.3 พฤติกรรมแบบไคนีซิส ( Kinesis )
เป็นพฤติกรรมที่ตอบสนองต่อสิ่งเร้าด้วยการเคลื่อนที่ทั้งตัวแบบมีทิศทางไม่แน่นอน คือ มีทิศทางที่ไม่สัมพันธ์กับทิศทางของสิ่งเร้า พฤติกรรมแบบนี้มักพบในสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังชั้นต่ำ และพวกโพรติสต์ ซึ่งมีหน่วยรับความรู้สึกที่มีประสิทธิภาพไม่ดีพอ เช่น
- การเคลื่อนที่ออกจากบริเวณที่อุณหภูมิสูงของพารามีเซียม
- การเคลื่อนที่หนีฟองแก๊ส CO2 ของพารามีเซียม
- การเคลื่อนที่ของตัวกุ้งเต้นเมื่ออยู่ในความชื้นที่แตกต่างกัน
- การเคลื่อนที่ออกจากบริเวณที่อุณหภูมิสูงของพารามีเซียม
- การเคลื่อนที่หนีฟองแก๊ส CO2 ของพารามีเซียม
- การเคลื่อนที่ของตัวกุ้งเต้นเมื่ออยู่ในความชื้นที่แตกต่างกัน
1.4 พฤติกรรมแบบแทกซิส ( Taxis )
เป็นพฤติกรรมการเคลื่อนที่เข้าหาหรือหนีจากสิ่งเร้าอย่างมีทิศทางที่แน่นอน พฤติกรรมแบบนี้มักพบในสิ่งมีชีวิตที่มีหน่วยรับความรู้สึกที่มีประสิทธิภาพดีพอจะสามารถรับรู้และเปรียบเทียบสิ่งเร้าได้ เช่น
- การเคลื่อนที่เข้าหาแสงสว่างของพลานาเรีย
- การเคลื่อนที่ของหนอนแมลงวันหนีแสง
- การเคลื่อนที่ของแมลงเม่าเข้าหาแสง - การเคลื่อนที่ของค้างคาวเข้าหาแหล่งอาหารตามเสียงสะท้อน
- การบินเข้าหาผลไม้สุกของแมลงหวี่
เป็นพฤติกรรมการเคลื่อนที่เข้าหาหรือหนีจากสิ่งเร้าอย่างมีทิศทางที่แน่นอน พฤติกรรมแบบนี้มักพบในสิ่งมีชีวิตที่มีหน่วยรับความรู้สึกที่มีประสิทธิภาพดีพอจะสามารถรับรู้และเปรียบเทียบสิ่งเร้าได้ เช่น
- การเคลื่อนที่เข้าหาแสงสว่างของพลานาเรีย
- การเคลื่อนที่ของหนอนแมลงวันหนีแสง
- การเคลื่อนที่ของแมลงเม่าเข้าหาแสง - การเคลื่อนที่ของค้างคาวเข้าหาแหล่งอาหารตามเสียงสะท้อน
- การบินเข้าหาผลไม้สุกของแมลงหวี่
2. พฤติกรรมที่เกิดจากการเรียนรู้ (Learned behavior)
2.1 พฤติกรรมการเรียนรู้แบบแฮบบิชูเอชัน ( Habituation ) เป็นพฤติกรรมที่สัตว์หยุดตอบสนองต่อสิ่งเร้าเดิม แม้จะยังได้รับการกระตุ้นอยู่ เนื่องจากสัตว์เรียนรู้แล้วว่าสิ่งเร้านั้นไม่มีผลต่อการดำเนินชีวิตของตัวเอง เช่น
- การที่นกลดอัตราการบินหนีหุ่นไล่กา
- การเลิกแหงนมองตามเสียงเครื่องบินของสุนัขที่อาศัยอยู่แถวสนามบิน
- การที่นกลดอัตราการบินหนีหุ่นไล่กา
- การเลิกแหงนมองตามเสียงเครื่องบินของสุนัขที่อาศัยอยู่แถวสนามบิน
2.2 พฤติกรรมการเรียนรู้แบบมีเงื่อนไข ( Conditioning )
เป็นพฤติกรรมการตอบสนองสิ่งเร้าที่ไม่แท้จริงได้เช่นเดียวกับสิ่งเร้าที่แท้จริง เช่น
- การทดลองของ อีวาน พาฟลอฟ ( Ivan Pavlov ) นักสรีรวิทยาชาวรัสเซีย เป็นการทดลองว่า สุนัขหลั่งน้ำลายเมื่อได้ยินเสียงกระดิ่ง (สิ่งเร้าที่ไม่แท้จริง)
1. ก่อนการเรียนรู้ ให้อาหาร (สิ่งเร้าที่แท้จริง) สุนัขน้ำลายไหล
2. ระหว่างการเรียนรู้ ให้อาหาร (สิ่งเร้าที่แท้จริง) สุนัขน้ำลายไหล พร้อมสั่นกระดิ่ง (สิ่งเร้าที่ไม่แท้จริง)
3. หลังการเรียนรู้ สั่นกระดิ่ง (สิ่งเร้าที่ไม่แท้จริง) สุนัขน้ำลายไหล
- การฝึกสัตว์เลี้ยงที่บ้านให้แสนรู้ ฝึกสัตว์ไว้ใช้งาน ฝึกสัตว์แสดงละคร ล้วนมีพื้นฐานมาจากพฤติกรรมการเรียนรู้แบบมีเงื่อนไขทั้งสิ้น
เป็นพฤติกรรมการตอบสนองสิ่งเร้าที่ไม่แท้จริงได้เช่นเดียวกับสิ่งเร้าที่แท้จริง เช่น
- การทดลองของ อีวาน พาฟลอฟ ( Ivan Pavlov ) นักสรีรวิทยาชาวรัสเซีย เป็นการทดลองว่า สุนัขหลั่งน้ำลายเมื่อได้ยินเสียงกระดิ่ง (สิ่งเร้าที่ไม่แท้จริง)
1. ก่อนการเรียนรู้ ให้อาหาร (สิ่งเร้าที่แท้จริง) สุนัขน้ำลายไหล
2. ระหว่างการเรียนรู้ ให้อาหาร (สิ่งเร้าที่แท้จริง) สุนัขน้ำลายไหล พร้อมสั่นกระดิ่ง (สิ่งเร้าที่ไม่แท้จริง)
3. หลังการเรียนรู้ สั่นกระดิ่ง (สิ่งเร้าที่ไม่แท้จริง) สุนัขน้ำลายไหล
- การฝึกสัตว์เลี้ยงที่บ้านให้แสนรู้ ฝึกสัตว์ไว้ใช้งาน ฝึกสัตว์แสดงละคร ล้วนมีพื้นฐานมาจากพฤติกรรมการเรียนรู้แบบมีเงื่อนไขทั้งสิ้น
ภาพที่ 5 อีวาน พาฟลอฟ ( Ivan Pavlov )ภาพ การทดลองพฤติกรรมการเรียนรู้แบบมีเงื่อนไข
ศึกษาเพิ่มเติม
Biography
Ivan Petrovich Pavlov was born on September 14, 1849 at Ryazan, where his father, Peter Dmitrievich Pavlov, was a village priest. He was educated first at the church school in Ryazan and then at the theological seminary there.
Inspired by the progressive ideas which D. I. Pisarev, the most eminent of the Russian literary critics of the 1860's and I. M. Sechenov, the father of Russian physiology, were spreading, Pavlov abandoned his religious career and decided to devote his life to science. In 1870 he enrolled in the physics and mathematics faculty to take the course in natural science.
Pavlov became passionately absorbed with physiology, which in fact was to remain of such fundamental importance to him throughout his life. It was during this first course that he produced, in collaboration with another student, Afanasyev, his first learned treatise, a work on the physiology of the pancreatic nerves. This work was widely acclaimed and he was awarded a gold medal for it.
In 1875 Pavlov completed his course with an outstanding record and received the degree of Candidate of Natural Sciences. However, impelled by his overwhelming interest in physiology, he decided to continue his studies and proceeded to the Academy of Medical Surgery to take the third course there. He completed this in 1879 and was again awarded a gold medal. After a competitive examination, Pavlov won a fellowship at the Academy, and this together with his position as Director of the Physiological Laboratory at the clinic of the famous Russian clinician, S. P. Botkin, enabled him to continue his research work. In 1883 he presented his doctor's thesis on the subject of «The centrifugal nerves of the heart». In this work he developed his idea of nervism, using as example the intensifying nerve of the heart which he had discovered, and furthermore laid down the basic principles on the trophic function of the nervous system. In this as well as in other works, resulting mainly from his research in the laboratory at the Botkin clinic, Pavlov showed that there existed a basic pattern in the reflex regulation of the activity of the circulatory organs.
In 1890 Pavlov was invited to organize and direct the Department of Physiology at the Institute of Experimental Medicine. Under his direction, which continued over a period of 45 years to the end of his life, this Institute became one of the most important centres of physiological research.
In 1890 Pavlov was appointed Professor of Pharmacology at the Military Medical Academy and five years later he was appointed to the then vacant Chair of Physiology, which he held till 1925.
It was at the Institute of Experimental Medicine in the years 1891-1900 that Pavlov did the bulk of his research on the physiology of digestion. It was here that he developed the surgical method of the «chronic» experiment with extensive use of fistulas, which enabled the functions of various organs to be observed continuously under relatively normal conditions. This discovery opened a new era in the development of physiology, for until then the principal method used had been that of «acute» vivisection, and the function of an organism had only been arrived at by a process of analysis. This meant that research into the functioning of any organ necessitated disruption of the normal interrelation between the organ and its environment. Such a method was inadequate as a means of determining how the functions of an organ were regulated or of discovering the laws governing the organism as a whole under normal conditions - problems which had hampered the development of all medical science. With his method of research, Pavlov opened the way for new advances in theoretical and practical medicine. With extreme clarity he showed that the nervous system played the dominant part in regulating the digestive process, and this discovery is in fact the basis of modern physiology of digestion. Pavlov made known the results of his research in this field, which is of great importance in practical medicine, in lectures which he delivered in 1895 and published under the title Lektsii o rabote glavnykh pishchevaritelnyteh zhelez (Lectures on the function of the principal digestive glands) (1897).
Pavlov's research into the physiology of digestion led him logically to create a science of conditioned reflexes. In his study of the reflex regulation of the activity of the digestive glands, Pavlov paid special attention to the phenomenon of «psychic secretion», which is caused by food stimuli at a distance from the animal. By employing the method - developed by his colleague D. D. Glinskii in 1895 - of establishing fistulas in the ducts of the salivary glands, Pavlov was able to carry out experiments on the nature of these glands. A series of these experiments caused Pavlov to reject the subjective interpretation of «psychic» salivary secretion and, on the basis of Sechenov's hypothesis that psychic activity was of a reflex nature, to conclude that even here a reflex - though not a permanent but a temporary or conditioned one - was involved.
This discovery of the function of conditioned reflexes made it possible to study all psychic activity objectively, instead of resorting to subjective methods as had hitherto been necessary; it was now possible to investigate by experimental means the most complex interrelations between an organism and its external environment.
In 1903, at the 14th International Medical Congress in Madrid, Pavlov read a paper on «The Experimental Psychology and Psychopathology of Animals». In this paper the definition of conditioned and other reflexes was given and it was shown that a conditioned reflex should be regarded as an elementary psychological phenomenon, which at the same time is a physiological one. It followed from this that the conditioned reflex was a clue to the mechanism of the most highly developed forms of reaction in animals and humans to their environment and it made an objective study of their psychic activity possible.
Subsequently, in a systematic programme of research, Pavlov transformed Sechenov's theoretical attempt to discover the reflex mechanisms of psychic activity into an experimentally proven theory of conditioned reflexes.
As guiding principles of materialistic teaching on the laws governing the activity of living organisms, Pavlov deduced three principles for the theory of reflexes: the principle of determinism, the principle of analysis and synthesis, and the principle of structure.
The development of these principles by Pavlov and his school helped greatly towards the building-up of a scientific theory of medicine and towards the discovery of laws governing the functioning of the organism as a whole.
Experiments carried out by Pavlov and his pupils showed that conditioned reflexes originate in the cerebral cortex, which acts as the «prime distributor and organizer of all activity of the organism» and which is responsible for the very delicate equilibrium of an animal with its environment. In 1905 it was established that any external agent could, by coinciding in time with an ordinary reflex, become the conditioned signal for the formation of a new conditioned reflex. In connection with the discovery of this general postulate Pavlov proceeded to investigate «artificial conditioned reflexes». Research in Pavlov's laboratories over a number of years revealed for the first time the basic laws governing the functioning of the cortex of the great hemispheres. Many physiologists were drawn to the problem of developing Pavlov's basic laws governing the activity of the cerebrum. As a result of all this research there emerged an integrated Pavlovian theory on higher nervous activity.
Even in the early stages of his research Pavlov received world acclaim and recognition. In 1901 he was elected a corresponding member of the Russian Academy of Sciences, in 1904 he was awarded a Nobel Prize, and in 1907 he was elected Academician of the Russian Academy of Sciences; in 1912 he was given an honorary doctorate at Cambridge University and in the following years honorary membership of various scientific societies abroad. Finally, upon the recommendation of the Medical Academy of Paris, he was awarded the Order of the Legion of Honour (1915).
After the October Revolution, a special government decree, signed by Lenin on January 24, 1921, noted «the outstanding scientific services of Academician I.P.Pavlov, which are of enormous significance to the working class of the whole world».
The Communist Party and the Soviet Government saw to it that Pavlov and his collaborators were given unlimited scope for scientific research. The Soviet Union became a prominent centre for the study of physiology, and the fact that the 15th International Physiological Congress of August 9-17, 1935, was held in Leningrad and Moscow clearly shows that it was acknowledged as such.
Pavlov directed all his indefatigable energy towards scientific reforms. He devoted much effort to transforming the physiological institutions headed by him into world centres of scientific knowledge, and it is generally acknowledged that he succeeded in this endeavour.
Pavlov nurtured a great school of physiologists, which produced many distinguished pupils. He left the richest scientific legacy - a brilliant group of pupils, who would continue developing the ideas of their master, and a host of followers all over the world.
In 1881, Pavlov married Seraphima (Sara) Vasilievna Karchevskaya, a teacher, the daughter of a doctor in the Black Sea fleet. She first had a miscarriage, said to be due to her having to run after her very fast-walking husband. Subsequently they had a son, Wirchik, who died very suddenly as a child; three sons, Vladimir, Victor and Vsevolod, one of whom was a well-known physicist and professor of physics at Leningrad in 1925, and a daughter, Vera.
Dr. Pavlov died in Leningrad on February 27, 1936.
Inspired by the progressive ideas which D. I. Pisarev, the most eminent of the Russian literary critics of the 1860's and I. M. Sechenov, the father of Russian physiology, were spreading, Pavlov abandoned his religious career and decided to devote his life to science. In 1870 he enrolled in the physics and mathematics faculty to take the course in natural science.
Pavlov became passionately absorbed with physiology, which in fact was to remain of such fundamental importance to him throughout his life. It was during this first course that he produced, in collaboration with another student, Afanasyev, his first learned treatise, a work on the physiology of the pancreatic nerves. This work was widely acclaimed and he was awarded a gold medal for it.
In 1875 Pavlov completed his course with an outstanding record and received the degree of Candidate of Natural Sciences. However, impelled by his overwhelming interest in physiology, he decided to continue his studies and proceeded to the Academy of Medical Surgery to take the third course there. He completed this in 1879 and was again awarded a gold medal. After a competitive examination, Pavlov won a fellowship at the Academy, and this together with his position as Director of the Physiological Laboratory at the clinic of the famous Russian clinician, S. P. Botkin, enabled him to continue his research work. In 1883 he presented his doctor's thesis on the subject of «The centrifugal nerves of the heart». In this work he developed his idea of nervism, using as example the intensifying nerve of the heart which he had discovered, and furthermore laid down the basic principles on the trophic function of the nervous system. In this as well as in other works, resulting mainly from his research in the laboratory at the Botkin clinic, Pavlov showed that there existed a basic pattern in the reflex regulation of the activity of the circulatory organs.
In 1890 Pavlov was invited to organize and direct the Department of Physiology at the Institute of Experimental Medicine. Under his direction, which continued over a period of 45 years to the end of his life, this Institute became one of the most important centres of physiological research.
In 1890 Pavlov was appointed Professor of Pharmacology at the Military Medical Academy and five years later he was appointed to the then vacant Chair of Physiology, which he held till 1925.
It was at the Institute of Experimental Medicine in the years 1891-1900 that Pavlov did the bulk of his research on the physiology of digestion. It was here that he developed the surgical method of the «chronic» experiment with extensive use of fistulas, which enabled the functions of various organs to be observed continuously under relatively normal conditions. This discovery opened a new era in the development of physiology, for until then the principal method used had been that of «acute» vivisection, and the function of an organism had only been arrived at by a process of analysis. This meant that research into the functioning of any organ necessitated disruption of the normal interrelation between the organ and its environment. Such a method was inadequate as a means of determining how the functions of an organ were regulated or of discovering the laws governing the organism as a whole under normal conditions - problems which had hampered the development of all medical science. With his method of research, Pavlov opened the way for new advances in theoretical and practical medicine. With extreme clarity he showed that the nervous system played the dominant part in regulating the digestive process, and this discovery is in fact the basis of modern physiology of digestion. Pavlov made known the results of his research in this field, which is of great importance in practical medicine, in lectures which he delivered in 1895 and published under the title Lektsii o rabote glavnykh pishchevaritelnyteh zhelez (Lectures on the function of the principal digestive glands) (1897).
Pavlov's research into the physiology of digestion led him logically to create a science of conditioned reflexes. In his study of the reflex regulation of the activity of the digestive glands, Pavlov paid special attention to the phenomenon of «psychic secretion», which is caused by food stimuli at a distance from the animal. By employing the method - developed by his colleague D. D. Glinskii in 1895 - of establishing fistulas in the ducts of the salivary glands, Pavlov was able to carry out experiments on the nature of these glands. A series of these experiments caused Pavlov to reject the subjective interpretation of «psychic» salivary secretion and, on the basis of Sechenov's hypothesis that psychic activity was of a reflex nature, to conclude that even here a reflex - though not a permanent but a temporary or conditioned one - was involved.
This discovery of the function of conditioned reflexes made it possible to study all psychic activity objectively, instead of resorting to subjective methods as had hitherto been necessary; it was now possible to investigate by experimental means the most complex interrelations between an organism and its external environment.
In 1903, at the 14th International Medical Congress in Madrid, Pavlov read a paper on «The Experimental Psychology and Psychopathology of Animals». In this paper the definition of conditioned and other reflexes was given and it was shown that a conditioned reflex should be regarded as an elementary psychological phenomenon, which at the same time is a physiological one. It followed from this that the conditioned reflex was a clue to the mechanism of the most highly developed forms of reaction in animals and humans to their environment and it made an objective study of their psychic activity possible.
Subsequently, in a systematic programme of research, Pavlov transformed Sechenov's theoretical attempt to discover the reflex mechanisms of psychic activity into an experimentally proven theory of conditioned reflexes.
As guiding principles of materialistic teaching on the laws governing the activity of living organisms, Pavlov deduced three principles for the theory of reflexes: the principle of determinism, the principle of analysis and synthesis, and the principle of structure.
The development of these principles by Pavlov and his school helped greatly towards the building-up of a scientific theory of medicine and towards the discovery of laws governing the functioning of the organism as a whole.
Experiments carried out by Pavlov and his pupils showed that conditioned reflexes originate in the cerebral cortex, which acts as the «prime distributor and organizer of all activity of the organism» and which is responsible for the very delicate equilibrium of an animal with its environment. In 1905 it was established that any external agent could, by coinciding in time with an ordinary reflex, become the conditioned signal for the formation of a new conditioned reflex. In connection with the discovery of this general postulate Pavlov proceeded to investigate «artificial conditioned reflexes». Research in Pavlov's laboratories over a number of years revealed for the first time the basic laws governing the functioning of the cortex of the great hemispheres. Many physiologists were drawn to the problem of developing Pavlov's basic laws governing the activity of the cerebrum. As a result of all this research there emerged an integrated Pavlovian theory on higher nervous activity.
Even in the early stages of his research Pavlov received world acclaim and recognition. In 1901 he was elected a corresponding member of the Russian Academy of Sciences, in 1904 he was awarded a Nobel Prize, and in 1907 he was elected Academician of the Russian Academy of Sciences; in 1912 he was given an honorary doctorate at Cambridge University and in the following years honorary membership of various scientific societies abroad. Finally, upon the recommendation of the Medical Academy of Paris, he was awarded the Order of the Legion of Honour (1915).
After the October Revolution, a special government decree, signed by Lenin on January 24, 1921, noted «the outstanding scientific services of Academician I.P.Pavlov, which are of enormous significance to the working class of the whole world».
The Communist Party and the Soviet Government saw to it that Pavlov and his collaborators were given unlimited scope for scientific research. The Soviet Union became a prominent centre for the study of physiology, and the fact that the 15th International Physiological Congress of August 9-17, 1935, was held in Leningrad and Moscow clearly shows that it was acknowledged as such.
Pavlov directed all his indefatigable energy towards scientific reforms. He devoted much effort to transforming the physiological institutions headed by him into world centres of scientific knowledge, and it is generally acknowledged that he succeeded in this endeavour.
Pavlov nurtured a great school of physiologists, which produced many distinguished pupils. He left the richest scientific legacy - a brilliant group of pupils, who would continue developing the ideas of their master, and a host of followers all over the world.
In 1881, Pavlov married Seraphima (Sara) Vasilievna Karchevskaya, a teacher, the daughter of a doctor in the Black Sea fleet. She first had a miscarriage, said to be due to her having to run after her very fast-walking husband. Subsequently they had a son, Wirchik, who died very suddenly as a child; three sons, Vladimir, Victor and Vsevolod, one of whom was a well-known physicist and professor of physics at Leningrad in 1925, and a daughter, Vera.
Dr. Pavlov died in Leningrad on February 27, 1936.
From Nobel Lectures, Physiology or Medicine 1901-1921, Elsevier Publishing Company, Amsterdam, 1967
พฤติกรรมการเรียนรู้แบบฝังใจ ( Imprinting ) เป็นพฤติกรรมที่ตอบสนองสิ่งเร้าในช่วงแรกของชีวิตด้วยการจดจำสิ่งเร้าต่างๆได้ เช่น
- การที่สัตว์ต่างๆ เดินตามแม่ เพราะเป็นสิ่งแรกที่เห็นเมื่อเกิดมาคือแม่
- ตัวอ่อนของแมลงหวี่ที่ฟักออกมาจากไข่จะผูกพักกับกลิ่นของพืชที่แม่แมลงหวี่วางไข่ไว้ และเมื่อโตขึ้นเต็มวัยก็จะมาวางไข่บนพืชชนิดนั้น
- ปลาแซลมอนจะฝังใจต่อกลิ่นที่ได้สัมผัสเมื่อออกจากไข่ เมื่อโตขึ้นถึงช่วงวางไข่ก็จะว่ายทวนน้ำกลับไปวางไข่ยังบริเวณแหล่งน้ำจืดที่เคยฟักออกจากไข่
- การที่สัตว์ต่างๆ เดินตามแม่ เพราะเป็นสิ่งแรกที่เห็นเมื่อเกิดมาคือแม่
- ตัวอ่อนของแมลงหวี่ที่ฟักออกมาจากไข่จะผูกพักกับกลิ่นของพืชที่แม่แมลงหวี่วางไข่ไว้ และเมื่อโตขึ้นเต็มวัยก็จะมาวางไข่บนพืชชนิดนั้น
- ปลาแซลมอนจะฝังใจต่อกลิ่นที่ได้สัมผัสเมื่อออกจากไข่ เมื่อโตขึ้นถึงช่วงวางไข่ก็จะว่ายทวนน้ำกลับไปวางไข่ยังบริเวณแหล่งน้ำจืดที่เคยฟักออกจากไข่
ภาพที่ 6 พฤติกรรมการฝังใจของลูกเป็ดเดินตามแม่ตนเองตามธรรมชาติ
ภาพ 7 การฝังใจของลูกสัตว์ที่คิดว่าคนคือพ่อแม่ของตนจึงเดินตามพวกเขาตลอดเวลา
2.3 พฤติกรรมการเรียนรู้แบบลองผิดลองถูก ( Trial and Error )
เป็นพฤติกรรมที่แสดงออกโดยการให้สัตว์มีการทดลองก่อน โดยไม่รู้ว่าผลดีหรือไม่ ผลของการตอบสนองจะทำให้สัตว์เกิดการเรียนรู้ที่เลือกตอบสนองต่อสิ่งเร้าที่เป็นผลดีหรือพอใจเท่านั้น
- การเดินในทางวกวนไปหาอาหารของหนู และหนูสามารถเดินทางไปหาอาหารและหาทางออกได้ในระยะเวลาอันสั้น หลังจากที่ได้ทดลองเดินมาก่อน
- การเลือกทางเดินของไส้เดือนที่อยู่ในกล่องรูปตัว T โดยมีด้านหนึ่งที่มืดและชื้น กับอีกด้านหนึ่งที่มีกระแสไฟฟ้าอ่อนๆ ซึ่งไส้เดือนที่ผ่านการฝึกมาแล้ว จะสามารถเลือกทางที่ถูกต้องได้ถึงประมาณร้อยละ 90
- เด็กเอามือไปจับยากันยุงที่ร้อน เมื่อเกิดการเรียนรู้จะไม่ทำพฤติกรรมเช่นนี้อีก
เป็นพฤติกรรมที่แสดงออกโดยการให้สัตว์มีการทดลองก่อน โดยไม่รู้ว่าผลดีหรือไม่ ผลของการตอบสนองจะทำให้สัตว์เกิดการเรียนรู้ที่เลือกตอบสนองต่อสิ่งเร้าที่เป็นผลดีหรือพอใจเท่านั้น
- การเดินในทางวกวนไปหาอาหารของหนู และหนูสามารถเดินทางไปหาอาหารและหาทางออกได้ในระยะเวลาอันสั้น หลังจากที่ได้ทดลองเดินมาก่อน
- การเลือกทางเดินของไส้เดือนที่อยู่ในกล่องรูปตัว T โดยมีด้านหนึ่งที่มืดและชื้น กับอีกด้านหนึ่งที่มีกระแสไฟฟ้าอ่อนๆ ซึ่งไส้เดือนที่ผ่านการฝึกมาแล้ว จะสามารถเลือกทางที่ถูกต้องได้ถึงประมาณร้อยละ 90
- เด็กเอามือไปจับยากันยุงที่ร้อน เมื่อเกิดการเรียนรู้จะไม่ทำพฤติกรรมเช่นนี้อีก
ภาพที่ 8 การทดลองพฤติกรรมการลองผิดลองถูก
2.4 พฤติกรรมการเรียนรู้แบบใช้เหตุผล ( Reasoning ) เป็นพฤติกรรมที่แสงดออกโดยใช้สติปัญญาในการแก้ปัญหาต่างๆ โดยไม่ต้องทดลองทำ ซึ่งเป็นการใช้ประสบการณ์หลายอย่างในอดีตมาช่วยในการแก้ปัญหาสถานการณ์ใหม่ในครั้งแรก เช่น
- การทดลองของโคเลอร์ ( W. Kohler ) เกี่ยวกับการแก้ปัญหาของลิงชิมแพนซี
- การใช้เหตุผลของคนในการแก้ปัญหาต่างๆ
- การทดลองของโคเลอร์ ( W. Kohler ) เกี่ยวกับการแก้ปัญหาของลิงชิมแพนซี
- การใช้เหตุผลของคนในการแก้ปัญหาต่างๆ
ภาพที่ 9 พฤติกรรมการใช้เหตุผลของลิงซิมแพนซี
3.1 การสื่อสารด้วยท่าทาง ( Visual Signal ) เป็นท่าทางที่สัตว์แสดงออกมาอาจจะเป็นแบบง่ายๆ หรืออาจมีหลายขั้นตอนที่สัมพันธ์กัน เช่น
- การแยกเขี้ยวของแมว
- การเปลี่ยนสีของปลากัดขณะต่อสู้กัน
- สุนัขหางตกเมื่อต่อสู้แพ้และวิ่งหนี
- นกยูงตัวผู้รำแพนหางขณะเกี้ยวพาราสี นกยูงตัวเมีย
- การเต้นระบำของผึ้งเพื่อบอกแหล่งและปริมาณของอาหาร ถ้าแหล่งอาหารอยู่ใกล้ จะเต้นเป็นรูปวงกลม แต่ถ้าแหล่งอาหารอยู่ไกล จะเต้นคล้ายรูปเลขแปด และมีการส่ายก้นไปมาด้วย โดยถ้าส่ายก้นเร็ว แสดงว่าปริมาณอาหารมีมาก
ภาพที่ 11 การสื่อสารด้วยท่าทางของนกยูง
ภาพที่ 12 การเต้นระบำของผึ้งเพื่อบอกแหล่งและปริมาณของอาหาร
3.2 การสื่อสารด้วยเสียง ( Sound Signal) เสียงของสัตว์ที่เปล่งออกมาในแต่ละครั้งจะแสดงถึงการตอบสนองสิ่งเร้าต่างๆ และสื่อความหมายที่แตกต่างกัน เช่น
- เสียงที่ทำให้เกิดการรวมกลุ่ม เช่น เสียงของนกร้อง ไก่ แกะ และกระรอก
- เสียงเรียกคู่เพื่อผสมพันธ์ เช่น เสียงร้องของกบและคางคก เสียงขยับปีกของยุงตัวเมียเพื่อเรียกยุงตัวผู้
- เสียงเตือนภัย เช่น เสียงร้องของเป็ด นก และเสียงเห่าของสุนัข - เสียงแสดงความโกรธ เช่น เสียงร้องของแมว สุนัข และช้าง
- เสียงเรียกคู่เพื่อผสมพันธ์ เช่น เสียงร้องของกบและคางคก เสียงขยับปีกของยุงตัวเมียเพื่อเรียกยุงตัวผู้
- เสียงเตือนภัย เช่น เสียงร้องของเป็ด นก และเสียงเห่าของสุนัข - เสียงแสดงความโกรธ เช่น เสียงร้องของแมว สุนัข และช้าง
3.3 การสื่อสารด้วยการสัมผัส ( Physical Contract ) เป็นการสื่อสารโดยใช้อวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งสัมผัสกับสัตว์พวกเดียวกันหรือต่างพวกกัน เพื่อนกระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมโต้ตอบกัน การสัมผัสเป็นการสื่อสารที่สำคัญอย่างหนึ่งของสัตว์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม การสัมผัสจะเป็นการถ่ายทอดความรัก และมีส่วนสำคัญต่อการพัฒนาของลูกอ่อน ทำให้ลกเกิดความรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัย ตัวอย่างสัตว์ที่มีการสื่อสารด้วยวิธีนี้ ได้แก่
- สุนัขเข้าไปเลียปากสุนัขตัวที่เหนือกว่า เพื่อบ่งบอกถึงความเป็นมิตรหรืออ่อนน้อมด้วย
- ลิงชิมแพนซียื่นมือให้ลิงตัวที่มีอำนาจเหนือกว่าจับในลักษณะหงายมือให้จับ
- ลูกนกนางนวลบางชนิดใช้จะงอยปากจิกที่จะงอยปากของแม่นกเพื่อขออาหาร
- สุนัขเข้าไปเลียปากสุนัขตัวที่เหนือกว่า เพื่อบ่งบอกถึงความเป็นมิตรหรืออ่อนน้อมด้วย
- ลิงชิมแพนซียื่นมือให้ลิงตัวที่มีอำนาจเหนือกว่าจับในลักษณะหงายมือให้จับ
- ลูกนกนางนวลบางชนิดใช้จะงอยปากจิกที่จะงอยปากของแม่นกเพื่อขออาหาร
3.4. การสื่อสารด้วยสารเคมี ( Chemical Signal ) สัตว์หลายชนิดใช้สารเคมีที่เรียกว่า ฟีโรโมน ( Pheromone ) ซึ่งเป็นสารเคมีที่สัตว์สร้างขึ้น เมื่อหลั่งออกมาภายนอกร่างกายจะมีผลต่อสัตว์อื่นที่เป็นชนิดเดียวกัน ทำให้เกิดพฤติกรรมต่างๆได้ เช่น
- ดึงดูดเพศตรงข้าม เช่น การที่ผีเสื้อกลางคืนตัวเมียหลั่งสารเคมีออกมา เพื่อให้ดึงดูดผีเสื้อกลางคืนตัวผู้ที่อยู่ห่างหลายกิโลเมตรให้บินมาหาได้ หรือการที่ชะมดหลั่งสารเคมีที่ดึงดูดเพศตรงข้ามได้
- บอกอาณาเขต เช่น กวางบางชนิดจะแตะสารเคมีกับต้นไม้เพื่อบอกอาณาเขต และการที่เสือดาวหรือสุนัขถ่ายปัสสาวะไว้ในที่ต่างๆ เพื่อบอกอาณาเขต
- นำทาง เช่น การหาอาหารของมด มดจะใช้ปลายท้องแตะที่พื้นแล้วปล่อยสารเคมีออกมาเป็นระยะๆทำให้มดตัวอื่นๆ ติดตามไปยังแหล่งอาหารได้ถูก
- ดึงดูดเพศตรงข้าม เช่น การที่ผีเสื้อกลางคืนตัวเมียหลั่งสารเคมีออกมา เพื่อให้ดึงดูดผีเสื้อกลางคืนตัวผู้ที่อยู่ห่างหลายกิโลเมตรให้บินมาหาได้ หรือการที่ชะมดหลั่งสารเคมีที่ดึงดูดเพศตรงข้ามได้
- บอกอาณาเขต เช่น กวางบางชนิดจะแตะสารเคมีกับต้นไม้เพื่อบอกอาณาเขต และการที่เสือดาวหรือสุนัขถ่ายปัสสาวะไว้ในที่ต่างๆ เพื่อบอกอาณาเขต
- นำทาง เช่น การหาอาหารของมด มดจะใช้ปลายท้องแตะที่พื้นแล้วปล่อยสารเคมีออกมาเป็นระยะๆทำให้มดตัวอื่นๆ ติดตามไปยังแหล่งอาหารได้ถูก
นางสาวอาภาพร สัตรัตน์ ชั้นม.6/2 เลขที่ 34
ตอบลบความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ
ตอบลบนางสาวรุ่งทิพย์ สาระโป ชั้น ม.6/2 เลขที่ 25
ตอบลบนายนรากร ศิริกุล ชั้น ม.6/2 เลขที่ 7
ตอบลบนายอนุสิทธิ์ สุวงค์ฤทธิ์ ม.6/2 เลขที่9
ตอบลบนายวัชรพงษ์ วงไชยา เลขที่ 4 ม.6/2
ตอบลบนางสาวอัจฉราพร นิลผาย ม.6/2 เลขที่ 39
ตอบลบนางสาวสุวนันท์ กั้วนามน ม.6/2 เลขที่38
ตอบลบนางสาวภันทิลา บุตรวัง 6/4 เลขที่ 34
ตอบลบนางสาวณัฐวิภา ศรีสองเมือง ม.6/3 เลขที่ 30
ตอบลบนางสาวทัศพร วรรดนมัย ม.6/3 เลขที่31
ตอบลบนางสาววรรณนิภา ไร่ไสว เลขที่24 ชั้น ม.6/3
ตอบลบนายจักรเพชร จั่นแพ ม.6/4 เลขที่ 5
ตอบลบนางสาวอภิญญา ยัติสาร ม.6/3 เลขที่ 22
ตอบลบนายกวิน นามุลทา เลขที่ 10 ม.6/2
ตอบลบนางสาวดาราวรรณ นีระพันธุ์ ม.6/4 เลขที่ 28
ตอบลบนางสาวจันทนา เนาท่าแค เลขที่25 ม.6/4
ตอบลบอารดา เขาวงษ์ เลขที่ 37 ม.6/4
ตอบลบนางสาวอภิญญา ไพบูลย์ ม.6/4 เลขที่ 36
ตอบลบนางสาวบุญทิพย์ คาคำลุน ม.6/4 เลขที่ 23
ตอบลบนางสาวปาริชาติ พลตื้อ ม.6/7 เลขที่ 15
ตอบลบนางสาวนิรชา อะโน ม.6/7 เลขที่ 14
ตอบลบนาวสาวทิพย์อุษา พลทามูล ม.6/7 เลขที่ 18
ตอบลบนางสาวลลิตา ถิ่นจำลอง ม. 6/7 เลขที่ 24
ตอบลบนางสาวสุภาพร ภูทองโป่ง ม.6/7 เลขที่25
ตอบลบนางสาวบรรจง นนทะภา ม.6/7 เลขที่32
ตอบลบนางสาวปิยะดา สุดาเดช ม.6/7 เลขที่ 17
ตอบลบความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ
ตอบลบนางสาวจตุพร ไชยปัญญา ม.6/7 เลขที่ 37
ตอบลบน.ส.วรรณิศา จำปาหล่า ม.6/3 เลขที่ 33
ตอบลบน.ส.ฃ่อทิพา เขตบ้าน ม.6/3 เลขที่ 25
ตอบลบน.ส. มุกดา ทวดอาจ เลขที่ 18 ม.6/3
ตอบลบน.ส.ไพลิน ภูถี่ถ้วน ชั้นม.6/4 เลขที่ 27
ตอบลบน.ส.พนิดา ไชยขันธุ์ ชั้นม.6/4 เลขที่ 13
ตอบลบน.ส.ชมพูนุช โคตรเสนา ม.6/7 เลขที่ 12
ตอบลบนางสาวมินตรา ตุงคุนะ เลขที่ 25 ม. 6/2
ตอบลบลัดดาวัลย์ รัตนศรี เลขที่ 38 ชั้น ม.6/4
ตอบลบนายพรพจน์ มะโนมัย 6/4 เลขที่ 11
ตอบลบนางสาวภาสุณีย์ คำพันธ์ ชั้นม.6/2 เลขที่ 37
ตอบลบนางสาวเนตรนภา การจักร์ ชั้น ม.6/2 เลขที่ 36
ตอบลบนางสาวเกศฤทัย จันทขึ้น ม.6/4 เลขที่ 17
ตอบลบน.ส.วรรณิดา สีลา เลขที่ 32 ม.6/3
ตอบลบนายพนัส เยี่ยมศิริ ม.6/2 เลขที่ 2
ตอบลบนาย ศักดิ์สิทธิ์ ชินตุ ม.6/2 เลขที่ 12
ตอบลบนางสาวธัญญเรศ ชมภูวิเศษ 6/2 เลขที่32
ตอบลบนางสาวณัฐสุดา สระทองแหยม 6/2 เลขที่33
ตอบลบนางสาวช่อทิพย์ ศรีวงษ์ ม 6/2 เลขที่ 14
ตอบลบนายมงคล ภู่พุ่ม ชั้น ม.6/2 เลขที่ 3
ตอบลบนางสาวสุรีย์ภรณ์ คงอาจ ม 6/2 เลขที่ 19
ตอบลบนางสาวอรอินทิรา สารจันทร์ เลขที่ 19 ม.6/2
ตอบลบนางสาวดารณี ทุมแก้ว ม.6/2 เลขที่ 21
ตอบลบนายนเรศ โพธะศรี เลขที่ 1 ม.6/2
ตอบลบนางสาวปภัสสร ดอนพัฒน์ ม.6/2 เลขที่17
ตอบลบนางสาววริศรา สังวรจิตร เลขที่ 26 ม. 6/2
ตอบลบนางสาวพลอยรุ้ง พรมเจริญ ม.6/2 เลขที่17
ตอบลบนายภานุพงษ์ กาญจนวรางกูร ม.6/2 เลขที่ 11
ตอบลบนางสาวจินตรัตน์ เขตอนันต์ ม.6/2 เลขที่ 30
ตอบลบนางสาวรุ่งลาวัลย์ ไพรรัตน์ ม. 6/7 เลฃที่ 21
ตอบลบนางสาวภาวิดา ภวะภูตานนท์ ม. 6/7 เลขที 27
ตอบลบนาวสาวสุภาพร ภูทองโป่ง เลขที่25 ม6/7
ตอบลบนายจีรสิทธิ์ ภูทะวัง ม. 6/7 เลขที่ 3
ตอบลบนางสาวจรํสรี สุกสีกี ม.6/7 เลขที่ 20
ตอบลบนางสาวชมพูนุช โคตรเสนา เลขที่11 ม6/7
ตอบลบนางสาวบรรจง นนทะภา ม6/7 เลขที่32
ตอบลบนางสาวจันทิมาพร ลุนศรี ม6/7 เลขที่ 33
ตอบลบนายอิทธิพล เพชรสังหาร ม. 6/7 เลขที่ 2
ตอบลบนางสาววรรณิษา โพธิสาร ม6/7 เลขที่ 26
ตอบลบจินตนา ปาระเก ม.6/7 เลขที่13
ตอบลบนางสาวปิยวดี กองลี ม.6/7 เลขที่16
ตอบลบนาย เสถียร ภักดี เลขที่ 2 ม.603
ตอบลบนายเอกภพ สืบพิมสุนนท์ ม.6/2 เลขที่ 8
ตอบลบนางสาวอรทัย เอื้อศิลป์ เลขที่ 18 ม.6/4
ตอบลบนายธนบดี มาตเลียม ม.6/3 เลขที่ 8
ตอบลบนายธนบดี มาตเลียม ม6/3 เลขที่ 8
ตอบลบนางสาววันวิสาข์ เรืองแสน ชั้น ม.6/2 เลขที่ 32
ตอบลบนางสาวอรทัย. มานพ. ชั้นม.6/4. เลขที่ 15
ตอบลบนางสาววิมลรัตน์ เวียงนนท์ ม.6/3 เลขที่ 17
ตอบลบนายสิทธิพงษ์ ไชยสวาท ม.6/7 เลขที่ 1
ตอบลบนายกฤษฎา แสนมหาชัย ม.6/7 เลขที่ 4
ตอบลบนางสาวพรรนภา วิระชิด
ตอบลบม.6/2 เลขที่ 22
นางสาวฐิติยาภรณ์ ตาสาโรจน์ ม.6/2 เลขที่ 21
ตอบลบนายศักรินทร์ ราชครุฑ ม.6/2 เลขที่ 5
ตอบลบนายเอกพันธ์ ถวายพร ม.6/4 เลขที่6
ตอบลบนายวิโรจน์ คำมะภา ม.6/4 เลขที่ 10
ตอบลบนายวิโรจน์ คำมะภา ม.6/4 เลขที่ 10
ตอบลบนายภานุพงศ์ วิชาพล ม.6/4 เลขที่ 8
ตอบลบอโณทัย ไชยนัด ม.6/3 เลขที่ 10
ตอบลบนาย เจนณรงค์ โพระกัน เลขที่ 12 ม.6/3
ตอบลบนาวสาวลัดดาวัลย์ รัตนศรี เลขที่่ 38 ชั้นม.6/4
ตอบลบนาย จิรวัฒน์ เนตรเสนา ม.6/3 เลขที่
ตอบลบนาย ภานุเดช มยุโรวาส ม.6/3 เลขที่ 9
ตอบลบน.ส.อรทัย แซ่ลี ม.6/3 เลขที่35
ตอบลบนายจักรกฤษณ์ ภูสีดาว ม.6/3 เลขที่ 7
ตอบลบนาย ไกรวุฒิ สีสิงห์ ม.6/3 เลขที่ 11
ตอบลบนายนพดล วิเศษโวหาร ม.6/3 เลขที่13
ตอบลบนางสาวอรุณี โกษา ม.6/3 เลขที่ 36
ตอบลบตรวจแล้ว
ตอบลบความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ
ตอบลบ